จากกรณีมีกระแสข่าว ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ประกาศตัดขาดจากนาย ทักษิณ ชินวัตร หลังรู้ว่า นายทักษิณกล่าวกับคนใกล้ชิดว่า กวนโอ๊ย ทำให้ไม่มีตำแหน่งใดๆ ในรัฐบาล ซึ่งกระแสข่าวที่เกิดขึ้น ทำให้ชื่อของ ร.ต.อ.เฉลิม ได้รับความสนใจจากสังคมอีกครั้ง!คำพูดจาก สล็อตวอเลท
โดย ร.ต.อ.เฉลิม อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีหลายกระทรวง สส.หลายสมัย ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิม เป็น สส.ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นดาวสภาที่มีฝีปากกล้า ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิม เคยกล่าวถึงตัวเองไว้ว่า "ไปทะเลเจอฉลาม มาสภาเจอเฉลิม"
"เศรษฐา" ไม่รู้ปม "เฉลิม" จ่อทิ้งเพื่อไทย หลังอ้างไม่พอใจ "ทักษิณ"
“วัน” โต้ข่าวพูดกวนโอ๊ย ยันไม่เคยให้ร้ายเพื่อไทย ลือสะพัด “เฉลิม” ตัดขาดทักษิณ
‘เฉลิม’ กลับมาแล้ว! เปิดศึก ซัด พรรค ก. อยากได้ ปธ.สภาแต่ไม่รู้การเมือง
ประวัติส่วนตัว
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เกิดเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2490 โดยไม่ทราบวันเกิดแน่นอน เป็นบุตรคนที่ 2 จากพี่น้องทั้งหมด 7 คนของร้อยตำรวจตรีแฉล้มและนางลั้ง อยู่บำรุง เข้าศึกษาในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึง 4 ที่โรงเรียนวัดบางบอนจากนั้นไปศึกษาต่อที่โรงเรียนวัดสิงห์ โดยในระหว่างที่ศึกษาที่โรงเรียนวัดสิงห์ได้อาศัยอยู่ที่วัดกำแพง จากนั้นเข้าโรงเรียนนายสิบทหารบก เหล่าสารวัตรทหาร สอบจบได้เป็นลำดับที่ 12
ในภายหลัง ร.ต.อ.เฉลิม เข้าศึกษาต่อที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง จนสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สมรสกับลำเนา อยู่บำรุง ผู้พิพากษาสมทบศาลเยาวชน มีบุตรด้วยกันทั้งสิ้น 3 คน คือ นายอาจหาญ อยู่บำรุง, นายวัน อยู่บำรุง และ พ.ต.ท. ดวง อยู่บำรุง
ประวัติการทำงาน
หลังจบการศึกษาจากโรงเรียนนายสิบทหารบก ร.ต.อ.เฉลิม ได้เข้ารับราชการในกรมสารวัตรทหารบก จากนั้นโอนย้ายเข้าเป็นตำรวจโดยใช้วิชายูโดเข้าเป็นผู้บังคับหมู่ในแผนก 5 กองกำกับการ 2 กองปราบปราม หรือหน่วยคอมมานโด ในเวลาต่อมาได้สอบเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร โดยติดยศร้อยตำรวจตรีในปี 2516 ในกองบังคับการกองปราบปราม จนดำรงตำแหน่งสารวัตรแผนก 4 กองกำกับการ 2 กองปราบปราม หลังจากนั้นได้ย้ายไปอยู่แผนก 5 กองกำกับการ 7 กองบังคับการปราบปรามดูแลยาเสพติดในพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ก่อนจะย้ายกลับมาเป็นสารวัตรแผนก 4 กองกำกับการ 2 อีกครั้งแล้ว
ร.ต.อ.เฉลิม ได้เข้าร่วมยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ร่วมกับกลุ่มทหารหนุ่มในระหว่างวันที่ 1 – 3 เมษายน 2524 โดยนำกำลังตำรวจจำนวน 370 นาย เข้ายึดสถานที่สำคัญในกรุงเทพฯ แต่การยึดอำนาจไม่สำเร็จ ทำให้ถูกจับกุมในข้อหากบฏและถูกปลดออกจากราชการ แม้ภายหลังรัฐบาลจะออกพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแต่ร้อยตำรวจเอกเฉลิมไม่ได้กลับเข้ารับราชการและตัดสินใจเข้าสู่วงการเมือง
เส้นทางการเมือง
ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. กทม. แทนตำแหน่งที่ว่าง ในปี 2524 แต่ได้รับเลือกตั้งลำดับที่ 2 จากนั้นนายพิชัย รัตตกุลหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้มาชวนให้เข้าพรรคประชาธิปัตย์
ในปี 2526 ร.ต.อ.เฉลิม ได้ลงสมัครในนามพรรคประชาธิปัตย์และได้เป็น สส.สมัยแรก ได้รับตำแหน่งทางการเมืองเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จากนั้น ร.ต.อ.เฉลิม ได้จดทะเบียนตั้งพรรคมวลชนในปี 2528 จากนั้นในปี 2529 ร.ต.อ.เฉลิม ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคมวลชนและได้ที่นั่งในสภาฯจำนวน 3 ที่นั่งโดยเป็นพรรคฝ่ายค้าน
และในการเลือกตั้งปี 2531 พรรคมวลชนได้ที่นั่งในสภาฯจำนวน 5 ที่นั่ง และพรรคมวลชนได้เข้าร่วมรัฐบาล โดย ร.ต.อ.เฉลิม ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และปรับเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
กระทั่งปี 2534 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) นำโดยพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ได้ทำรัฐประหาร พร้อมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) ซึ่งมีการกล่าวหาว่า ร.ต.อ.เฉลิม ร่ำรวยผิดปกติ และถูกยึดทรัพย์จำนวน 32 ล้านบาท เหตุการณืดังกล่าวทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม ต้องขอลี้ภัยการเมืองไปต่างประเทศจากนั้นในการเลือกตั้งในปี 2535 ร.ต.อ.เฉลิม จึงได้เดินทางกลับประเทศและลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ได้คะแนนเป็นลำดับที่ 4
ภายหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ได้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 13 กันยายน 2535 ร.ต.อ.เฉลิม ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. และพรรคมวลชนได้ที่นั่งในสภาฯจำนวน 4 ที่นั่ง และในการเลือกตั้งปี 2538 สมาชิกพรรคมวลชนได้รับการเลือกตั้งจำนวน 3 ที่นั่ง และ ร.ต.อ.เฉลิม ได้รับการโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ในการเลือกตั้งปี 2539 สมาชิกพรรคมวลชนได้รับการเลือกตั้งจำนวน 2 ที่นั่ง เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาล พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม ได้รับการโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กระทั่งการเลือกตั้งในปี 2544 สมาชิกพรรคมวลชนได้ยุบรวมเข้ากับพรรคความหวังใหม่ ซึ่งต่อมาได้พรรคความหวังใหม่ได้ยุบรวมกับพรรคไทยรักไทยในปี 2545 ซึ่งในครั้งนั้น ร.ต.อ.เฉลิม มีความขัดแย้งกับสมาชิกบางกลุ่มในพรรคไทยรักไทย ทำให้ออกจากพรรคไทยรักไทยแล้วลงสมัครเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในปี 2547 แต่ได้คะแนนเป็นอันดับที่ 4
ระหว่างปี 2548 –2550 ร.ต.อ.เฉลิม ได้ถอยออกจากแวดวงการเมืองและไปเรียนหลักสูตรดุษฎีบัณฑิต สาขานิติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง จากนั้น ร.ต.อ.เฉลิม กลับเข้าสู่แวดวงการเมืองอีกครั้งกับพรรคพลังประชาชนจากการชักชวนของทักษิณ ชินวัตร ที่ลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศขณะนั้น และในการเลือกตั้งปี 2550 ร.ต.อ.เฉลิม เป็น สส.แบบสัดส่วนลำดับที่ 2 และร.ต.อ.เฉลิม ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในปี 2551
จากนั้น เมื่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์เป็นนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จากนั้นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติให้ยุบพรรคพลังประชาชน ส่งผลให้นายสมชายถูกตัดสิทธิทางการเมืองต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เมื่อพรรคพลังประชาชนถูกยุบ สมาชิกของพรรคได้มาตั้งพรรคการเมืองใหม่ชื่อพรรคเพื่อโดยที่ประชุม สส.พรรคเพื่อไทยมีมติเลือก ร.ต.อ.เฉลิม เป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคและประธาน สส.พรรคเพื่อไทย ทำหน้าที่คล้ายกับผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
กระทั่งการเลือกตั้งในปี 2554 พรรคเพื่อไทยได้รับการเลือกตั้งมากที่สุดและสามารถจัดตั้งรัฐบาล โดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรี และ ร.ต.อ.เฉลิม ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี โดยได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากนั้นในปี 2556 ร.ต.อ.เฉลิม ถูกปรับให้ไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
และในระหว่างการชุมนุมของ กปปส. ร.ต.อ.เฉลิม ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้กำกับการปฏิบัติงานของหัวหน้าผู้รับผิดชอบและพนักงานเจ้าหน้าที่ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง
กระทั่งในปี 2557 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัย ความเป็นรัฐมนตรีของรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีสิ้นสุดเฉพาะตัว ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม ต้องพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีรักษาการ จนนำไปสู่วิกฤติการณ์ทางการเมืองและการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
จากนั้นในการเลือกตั้งปี 2562 พรรคเพื่อไทยไม่ได้ สส.แบบบัญชีรายชื่อ ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม ไม่ได้กลับเข้ามาเป็น สส. แต่มีทายาทางการเมืองเข้ามาในสภาแทนคือ นายวัน อยู่บำรุง สส. กทม. เขตบางบอน
และในการเลือกตั้งปี 2566 ร.ต.อ.เฉลิม ได้รับเลือกตั้งเป็น สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แต่ไม่ได้รับการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
พ.ศ. 2532 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)
พ.ศ. 2531 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นสูงสุด มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)
พ.ศ. 2523 – เหรียญจักรมาลา (ร.จ.ม.)
พ.ศ. 2553 – เหรียญลูกเสือสดุดี ชั้นที่ 1
พ.ศ. 2500 – เหรียญงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ
ข้อมูลจาก : สถาบันพระปกเกล้า
โปรแกรมการแข่งขันกีฬา เอเชียนเกมส์ 2022 วันที่ 5 ต.ค. 66 ของนักกีฬาไทย
จัด “คอมมานโด” ทวงคืนวัดบางคลาน เรียก “สว.กิตติศักดิ์” พบ | 3 ต.ค. 66 | เข้มข่าวใหญ่
ค่าเงินบาทวันนี้ เปิดตลาดแข็งหลุด 37 เม็ดเงินต่างชาติชะลอไหลออก